อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลในตลาดพัฒนาแล้วร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในปีนี้ ในขณะที่ธนาคารกลางต่างๆ ได้ตอบสนองอย่างรวดเร็วด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมีนาคมและเริ่มดำเนินโครงการซื้อพันธบัตรเพื่อรับมือกับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการระบาดใหญ่ ธนาคารกลางทั่วโลกต่างพยายามคงท่าทีในการรักษาอัตราดอกเบี้ยและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรให้อยู่ในระดับต่ำต่อไป นั่นทำให้ผู้ลงทุนต้องเผชิญกับโอกาสที่ผลตอบแทนจะเข้าใกล้ศูนย์หรือติดลบจากตราสารหนี้ซึ่งถือว่ามีความปลอดภัยที่สุดนี้ ทั้งนี้ ตราสารหนี้ที่ให้อัตราผลตอบแทนติดลบทั่วโลกมีมูลค่ารวมกันถึง 15.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ1
ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว ผู้ลงทุนอาจมองให้ครอบคลุมมากขึ้นและพุ่งตรงมาที่ตราสารหนี้เอเชียเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการลงทุนที่ต้องการ ความหลากหลายในตลาดตราสารหนี้ของเอเชียนั้นหมายความถึงความสามารถที่จะส่งมอบผลตอบแทนที่น่าดึงดูด มีคุณภาพ และให้คุณสมบัติด้านกระจายความเสี่ยงแก่ผู้ลงทุน โดยช่วยให้พวกเขาสร้างพอร์ตการลงทุนที่มีความแข็งแกร่งมากขึ้นซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในยุคหลังวิกฤต covid
คุณภาพบนพื้นฐานที่มั่นคงกว่าเดิม
ประเทศในเอเชียเริ่มเผชิญกับการระบาดใหญ่ในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงของสถานะการคลัง (debt dynamics) ในทิศทางที่แข็งแกร่งมากขึ้นเมื่อเทียบกับประเทศต่างๆ ในตลาดพัฒนาแล้ว แม้ว่าจะมีความแตกต่างในแต่ละประเทศ ในขณะที่ผู้กำหนดนโยบายในเอเชียยังใช้มาตรการกระตุ้นเพื่อรับมือกับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการระบาด แต่ระดับการซื้อหลักทรัพย์ของรัฐบาลในตลาดเกิดใหม่เอเชีย (Emerging Asia) จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่ได้ใกล้เคียงกับขนาดของประเทศพัฒนาแล้ว ดูรูปที่ 1
การมีงบดุลที่แข็งแกร่งกว่าและอัตราผลตอบแทนสูงกว่า จึงไม่น่าแปลกใจว่าตราสารหนี้ของประเทศเอเชีย เช่นพันธบัตรรัฐบาลจีนจะมีเม็ดเงินไหลเข้ามาซื้อจากผู้ลงทุนต่างชาติในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ในทางกลับกัน ระดับการถือครองตราสารหนี้ของอินเดียและอินโดนีเซียโดยผู้ลงทุนต่างชาติกลับลดลง เนื่องจากความกังวลของผู้ลงทุนเกี่ยวกับสภาวะการขาดดุลการคลังของประเทศที่เพิ่มขึ้นและซัพพลายพันธบัตรใหม่ที่ออกมามากขึ้น การแบ่งตลาดออกเป็นสองด้านนี้เป็นการสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าต้องให้ความสำคัญต่อการบริหารแบบเชิงรุก
โดยเปรียบเทียบแล้ว งบดุลของรัฐบาลเอเชียไม่เพียงแต่จะอยู่ในสถานะที่ดีขึ้นเท่านั้น แต่อันดับเครดิตของบริษัทต่างๆ ในเอเชียที่จัดอยู่ในกลุ่ม Investment Grade (IG) ก็ยังอยู่ในทิศทางที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับบริษัทระดับเดียวกันของตลาดพัฒนาแล้ว อัตราส่วนหนี้สินสุทธิ (net leverage ratio) ของบริษัทในตลาดเกิดใหม่ที่มีอันดับเครดิต Investment Grade นั้นอยู่ที่ 1.6 เท่าในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งต่ำกว่าสหรัฐ (2.4x) และในยุโรป (3.9 เท่า) อย่างมีนัยสำคัญ2
ตลาดผันผวนมากขึ้นในเดือนมีนาคมในช่วงเริ่มต้นการแพร่ระบาดของ covid-19 แต่บริษัทเอเชียที่มีอันดับเครดิต Investment Grade มีความผันผวนน้อยกว่าบริษัททั่วโลกอย่างเห็นได้ชัด
จากกราฟในรูปที่ 2 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรัฐวิสาหกิจ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ คิดเป็นสัดส่วนสำคัญ (ประมาณ 25%) ของผู้ออกตราสารหนี้ระดับ Investment Grade ในเอเชีย
ในขณะเดียวกัน ตลาดตราสารหนี้เอเชียมีฐานผู้ลงทุนในประเทศเพิ่มขึ้นในช่วงสิบปีที่ผ่านมาทำให้ตลาดมีเสถียรภาพมากขึ้น
ผู้ลงทุนในเอเชียซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยกองทุนบำเหน็จบำนาญในประเทศ, บริษัท ประกัน และกองทุนรวม ปัจจุบันคิดเป็นสัดส่วนที่สูงกว่า 75% ของซัพพลายพันธบัตรออกใหม่ในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 53% ในปี 2010 สะท้อนจากรูปที่ 3 ผู้ลงทุนเหล่านี้ช่วยเป็นเกราะป้องกันจากสภาวะการไหลออกของเม็ดเงินลงทุนต่างชาติในช่วงที่ตลาดตกอยู่ในภาวะหลีกเลี่ยงความเสี่ยง (risk aversion)
อัตราผลตอบแทนน่าสนใจ
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเอเชียในปัจจุบันให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาดพัฒนาแล้ว จากรูปที่ 4 ในขณะเดียวกัน แม้ว่าธนาคารกลางในเอเชียหลายแห่งจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อรับมือกับการระบาดของไวรัสโคโรนา แต่อัตราดอกเบี้ยนโยบายยังคงสูงกว่าเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว ดังแสดงในรูปที่ 5
ภาวะเช่นนี้ เป็นการชี้ให้เห็นว่าธนาคารกลางในเอเชียมีโอกาสดำเนินมาตรการผ่อนคลายเพิ่มเติมได้อีกหากมีความจำเป็น ซึ่งจะช่วยหนุนตลาดตราสารหนี้ในประเทศตนได้ อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าธนาคารกลางในเอเชียส่วนใหญ่จะยังคงสงวนท่าทีไว้ในตอนนี้และใช้ความพยายามในการมุ่งเน้นดูแลสภาวะการเงินให้ยังคงเอื้อต่อภาคเอกชน
อัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้นในตลาดตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนสูง (HY) ของเอเชีย ได้ดึงดูดความสนใจผู้ลงทุนเพิ่มมากขึ้นตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตราสารหนี้ HY ของเอเชีย ให้ผลตอบแทน 7.3% ต่อปีในช่วง 10 ปีมานี้ ซึ่งสูงกว่าผลตอบแทนของสหรัฐ (6.7% ต่อปี) และตราสารหนี้ HY ของยุโรป (5.7% ต่อปี) แม้ว่าส่วนต่างผลตอบแทนระหว่างตราสารหนี้ HY เอเชียและสหรัฐจะลดลงตามสภาวะตลาดที่วิ่งขึ้นแรงในเดือนมีนาคม แต่ตราสารหนี้ HY ของเอเชียยังคงให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจ ข้อมูลในช่วงที่เขียนบทความนี้ สเปรดตราสารหนี้ HY ของเอเชีย เฉลี่ยอยู่ที่ 753bp สูงกว่า 505bp ซึ่งเป็นสเปรดตราสารหนี้ HY ของสหรัฐ และที่สำคัญสเปรดเหล่านี้ยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี ซึ่งเป็นการบ่งชี้ว่ายังมีโอกาสที่สเปรด HY ของเอเชียจะแคบลงอีก ดูรูปที่ 6 จากสถิติที่ผ่านมานั้นพบว่าผู้ลงทุนเข้าสู่ตลาดตราสารหนี้ HY ในเอเชีย เมื่ออัตราผลตอบแทนอยู่ที่ระหว่าง 7% ถึง 8% โดยได้รับผลตอบแทนเฉลี่ย 7.1% สำหรับการถือครองนาน 3 ปี
ภายใต้สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ยังคงมีความท้าทาย แต่ก็เป็นความหวังเมื่อเห็นว่าอัตราส่วนหนี้สินสุทธิของตราสารหนี้ HY เอเชียอยู่ที่ 1.9 เท่า ซึ่งต่ำกว่าภูมิภาคอื่นๆ ที่อยู่ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่
จากรูปที่ 7 แสดงให้เห็นว่า เราอาจผ่านพ้นช่วงเวลาอันเลวร้ายที่สุดในแง่ของการปรับลดอันดับเครดิตสำหรับตลาดตราสารหนี้ HY ในเอเชีย
แต่อย่างไรก็ตาม สภาพคล่องที่ยังคงย่ำแย่ภายในภาคอุตสาหกรรมของจีนและบริษัทผู้ออกตราสารซึ่งเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของอินโดนีเซียบางราย ได้ชี้ให้เห็นว่าผู้ลงทุนจำเป็นต้องดำเนินการคัดสรรอย่างมากเพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่อาจสร้างปัญหาในตลาด
อัตราการผิดนัดชำระหนี้ในตลาดตราสารหนี้ HY ของเอเชียอยู่ที่ 2.2% ในปัจจุบัน3 และอาจขึ้นไปแตะตัวเลขหลักเดียวในระดับกลางๆ ภายในสิ้นปีนี้ ข้อมูลดังกล่าวถือว่าอยู่ในทิศทางที่ดีเมื่อเทียบกับอัตราการผิดนัดชำระหนี้ของ HY เอเชียที่ 9% ในปี 2009 และยังต่ำกว่าอัตราการผิดนัดชำระหนี้ของ HY สหรัฐที่คาดว่าจะอยู่ที่ 8% ในช่วงสิ้นปี
การกระจายความเสี่ยงช่วยลดแรงเสียดทาน
ด้วยมิติที่หลากหลายของเศรษฐกิจเอเชีย ค่าเงิน และปัจจัยขับเคลื่อนภายในประเทศของตลาดตราสารหนี้ในภูมิภาคได้ชี้ให้เห็นว่าตราสารหนี้เอเชียสามารถให้ประโยชน์จากการกระจายความเสี่ยงได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมปัจจุบันที่อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ในตลาดพัฒนาแล้วอยู่ในระดับต่ำซึ่งอาจจำกัดโอกาสในการกระจายลงทุนสำหรับพอร์ตการลงทุนประเภทผสมหลายสินทรัพย์
“จีน” เป็นหนึ่งในประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่เพียงไม่กี่ประเทศที่ไม่ได้ดำเนินมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณในปีนี้ ด้วยเหตุดังกล่าวผู้ลงทุนจึงสามารถได้ประโยชน์จากการถือครองตราสารหนี้ของจีนที่น่าดึงดูดและเพิ่มผลตอบแทนโดยใช้ประโยชน์จากการวิเคราะห์เส้นอัตราผลตอบแทน (yield curve) หรือแม้แต่ผู้ลงทุนตราสารหนี้ทั่วโลกก็สามารถได้รับประโยชน์จากการกระจายความเสี่ยงเพิ่มเติมจาก ตราสารหนี้ของจีน ได้ ในปัจจุบันจีนคิดเป็นสัดส่วนเพียง 6% ใน Bloomberg Barclays Global Aggregate Bond Index ในทางตรงกันข้าม ตราสารหนี้ของสหรัฐ ญี่ปุ่น และยุโรป กลับมีสัดส่วนรวมกันมากกว่า 70% ของดัชนีดังกล่าว มีโอกาสชัดเจนที่ผู้ลงทุนต่างชาติจะเพิ่มการถือครองพันธบัตรรัฐบาลจีน จากระดับปัจจุบันซึ่งอยู่ต่ำกว่า 3% โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากธนาคารกลางทั่วโลกหาทางที่จะกระจายการถือครองเงินดอลลาร์สหรัฐในระยะยาว
ในขณะเดียวกัน ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยังคงควบคุมระดับอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐผ่านโครงการซื้อพันธบัตร โดยค่าเงินดอลลาร์มีบทบาทเสมือนเป็นตัวควบคุมแรงกดดันสำหรับผู้ลงทุนที่วิตกกังวลต่อสถานะการขาดดุลแฝด (twin deficits) ที่เพิ่มขึ้นของสหรัฐ นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังสูญเสียความได้เปรียบในแง่ผลตอบแทนจากการที่เฟดคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำ โดย Asian Dollar Index ปรับตัวแข็งค่าขึ้น 5%4 เมื่อเทียบกับจุดต่ำสุดในเดือนมีนาคม การอ่อนค่าลงต่อเนื่องของเงินดอลลาร์จะส่งผลดีต่อสกุลเงินเอเชีย เปิดโอกาสให้ผู้จัดการลงทุนตราสารหนี้ที่มีกลยุทธ์เชิงรุกสามารถสร้างผลตอบแทนได้เพิ่มเติม นอกจากนี้ หากค่าเงินหยวนยังคงมีเสถียรภาพ ก็จะช่วยเป็นหลักยึดด้านความแข็งแกร่งให้แก่ค่าเงินเอเชียในระยะต่อไป
ESG ก้าวสู่บทบาทที่สำคัญ
นอกเหนือจากความต้องการในการสร้างกระแสรายได้ การมุ่งเน้นเรื่องคุณภาพ และการกระจายความเสี่ยงในการถือครองพันธบัตรแล้ว การพิจารณาในประเด็น ESG ก็มีความสำคัญมากขึ้นสำหรับผู้ลงทุน ในงานสัมมนาเกี่ยวกับ COVID-19 ซึ่งจัดโดย United Nations Principles of Responsible Investment (UN PRI) มีผู้เข้าร่วมในสัดส่วน 92% ที่ระบุว่าการหารือกันในประเด็นความยั่งยืนถือเป็นสิ่งที่ “ต้อง” ดำเนินการเมื่อผู้ลงทุนตราสารหนี้เข้ามาเกี่ยวข้องกับผู้ออกตราสาร
เราเชื่อว่าการประเมินเรื่อง ESG อาจช่วยปรับปรุงผลงานของพอร์ตโฟลิโอได้ในระยะยาวโดยผ่านกระบวนการวิเคราะห์และจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยทางด้าน ESG ที่ผู้ออกตราสารต้องเผชิญ ความพร้อมของข้อมูลเพื่อทำการวิเคราะห์ ESG อย่างจริงจังยังคงเป็นความท้าทายที่สำคัญ แต่นี่ก็ไม่ใช่ความท้าทายเฉพาะแค่ประเทศในเอเชียเท่านั้น มีสัญญาณที่สร้างความหวังก็คือการที่ผู้ออกตราสารในเอเชียได้ตระหนักถึงความเอาใจใส่ของผู้ลงทุนต่อชุดตัวชี้วัด ESG มากขึ้น และกำลังตอบสนองต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับข้อมูลชี้วัดผลงานซึ่งเกี่ยวข้องกับ ESG
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการเปิดเผยข้อมูลมากขึ้น แต่ความจำเป็นในการตีความข้อมูล ESG ก็หมายความว่าผู้จัดการที่ใช้กลยุทธ์เชิงรุกเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับประเด็นทางสังคมและการกำกับดูแลที่การประเมินขนาดของผลกระทบทำได้ยากขึ้น ทีมวิเคราะห์ตราสารหนี้ของเราได้ทำการวิเคราะห์ ESG อย่างครอบคลุมโดยใช้ กรอบการประเมิน ESG ที่เราจัดทำขึ้นมาโดยเฉพาะ
ปูรากฐานเพื่อความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
เราอาจผ่านพ้นจุดต่ำสุดของภาวะเศรษฐกิจขาลงที่เกิดจากการระบาดใหญ่ แต่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกต่อจากนี้จะไม่ราบรื่นนัก กิจกรรมทางเศรษฐกิจในเอเชียมีแนวโน้มที่จะหวนคืนกลับสู่ระดับก่อนเกิดวิกฤต covid ได้รวดเร็วกว่าประเทศอื่นๆ ในโลก โดยมีจีน ไต้หวัน และเวียดนาม ที่ขึ้นมายืนได้อย่างโดดเด่นแล้วด้วยแรงสนับสนุนจากรัฐบาลของตนในการจัดการกับภาวะการระบาดจนถึงปัจจุบัน
เราเชื่อว่าตราสารหนี้เอเชียได้นำเสนอคุณค่าที่น่าสนใจแก่ผู้ลงทุน ซึ่งผู้ลงทุนที่กำลังมองหาเรื่องคุณภาพอยู่นั้น ตราสารหนี้ระดับ investment grade ของเอเชียได้ให้ปัจจัยพื้นฐานทางเครดิตที่แข็งแกร่งและมีความมั่นคงอย่างสอดคล้องกัน ในทางกลับกันผู้ลงทุนที่แสวงหาผลตอบแทนสามารถรับประโยชน์จากอัตราผลตอบแทนที่น่าสนใจของตราสารหนี้ผลตอบแทนสูงของเอเชีย (Asian HY) ด้วยความผันผวนที่ต่ำกว่าตราสารในระดับเดียวกันเมื่อดูจากข้อมูลในอดีต
ในขณะเดียวกัน แนวโน้มของเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงได้ชี้ให้เห็นว่าตราสารหนี้สกุลเงินท้องถิ่นของเอเชียนั้นสามารถให้ผลตอบแทนเพิ่มเติมและให้คุณสมบัติด้านการกระจายความเสี่ยงได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ตลาดที่ถูกแบ่งออกเป็นสองด้านนั้นได้ชี้ให้เห็นว่าผู้ลงทุนจำเป็นต้องใช้กลยุทธ์เชิงรุกในการบริหารจัดการเรื่อง duration (อายุเฉลี่ยของตราสาร) ลักษณะธุรกิจของผู้ออกตราสาร และความเสี่ยงค่าเงิน
เราคิดว่าผู้ลงทุนสถาบันกำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการกระจายพอร์ตการลงทุนเข้าสู่ตราสารหนี้มากขึ้น คล้ายๆ กับการใช้กลยุทธ์ปรับลดความเสี่ยงที่เราได้เห็นในช่วงหลังวิกฤตการเงินโลกเมื่อปี 2008 เราคาดว่าตลาดตราสารหนี้เอเชียจะได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้