Asian Tech: 5 แนวโน้มที่สำคัญเพื่อมุ่งสู่อนาคต

การระบาดของ COVID-19 ได้เร่งการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในหลายๆ ด้านที่ดำเนินมาตั้งแต่ช่วงก่อนเกิดวิกฤติ ผู้คนปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตในการทำงาน ช้อปปิ้ง การเรียนรู้ และรับความบันเทิงผ่านช่องทางออนไลน์ 5 แนวโน้มทางเทคโนโลยีที่สำคัญที่จะมาพลิกโฉมของโลกหลังสิ้นสุดวิกฤต COVID และบริษัทเทคโนโลยีในเอเชียกับบทบาทต่อการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้

1. การเปลี่ยนแปลงระบบการเรียนรู้ครั้งใหญ่

การเรียนรู้แบบออนไลน์ได้กลายมาเป็นปรากฏการณ์ระดับโลกเมื่อการระบาดของ coronavirus สร้างความเงียบเหงาให้กับโรงเรียน แม้โรงเรียนจะกลับมาเปิดใหม่ แต่การเรียนรู้ออนไลน์ก็ยังได้รับความนิยมมากขึ้นและเห็นภาพชัดมากกว่าเดิมว่าเป็นวิธีที่ช่วยประหยัดต้นทุนในการสร้างกระบวนการเรียนรู้สำหรับผู้คนทุกวัย

ทีมตลาดหุ้น A-share ของ Eastspring ประจำสำนักงานเซี่ยงไฮ้ เชื่อว่าขนาดของการเรียนรู้ออนไลน์ในประเทศจีนนั้นไม่มีใครเทียบได้ ด้วยจำนวนประชากร ระดับการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและระดับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การเรียนรู้ผ่านช่องทางออนไลน์ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับประเทศจีน ตลาดการศึกษาออนไลน์ในวัยผู้ใหญ่มีการขยายตัวมาตั้งแต่ปี 2013 ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนสูงถึงราวครึ่งหนึ่งของตลาดการศึกษาออนไลน์ของจีนในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม การเติบโตที่แท้จริงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเกิดขึ้นจากตลาดโรงเรียนกวดวิชา (After-School Tutoring | AST) สำหรับการศึกษาในระดับ K-12 (ชั้นอนุบาลจนถึงเกรด 12) โดยตลาด K-12 AST ของจีนนี้ มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 85% เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 30.2 พันล้านหยวน ตั้งแต่ปี 2013 จนถึงปี 2018

โอกาสการเติบโตของตลาดการเรียนรู้ออนไลน์ของจีนนั้นยังมีอยู่มาก แม้ว่าการสมัครเข้าเรียนที่คาดว่าจะมีจำนวนนักเรียน 65 ล้านคนในปี 2020 แต่ก็ถือว่าระดับการเข้าถึงตลาด AST ในจีนนั้นยังคงต่ำ (28%) เมื่อเทียบกับ +70% ในไต้หวัน / ญี่ปุ่น / เกาหลีและ +85% ในฮ่องกง จากข้อมูลของ Frost & Sullivan ระบุว่าขนาดตลาด (วัดจากมูลค่าการเรียกเก็บเงินเบื้องต้นหรือ gross billing) ของการศึกษาออนไลน์ในจีนคาดว่าจะสูงถึง 696 พันล้านหยวนในปี 2023 เพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าจาก 294 พันล้านหยวนในปี 2020 (ค่าประมาณการ) ดังแสดงในรูปที่ 1 การเติบโตนี้คาดว่าจะได้รับแรงหนุนจากการสมัครเข้าเรียน AST (โรงเรียนกวดวิชา) แบบออนไลน์ เนื่องจากระบบ 5G และการพัฒนาเทคโนโลยีช่วยลดต้นทุน Bandwidth และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของการศึกษาออนไลน์

Frost & Sullivan คาดการณ์ว่าการสมัครเข้าเรียน K-12 AST แบบออนไลน์ของจีนนั้นจะมีการเติบโต (CAGR) ที่ 65% เทียบจากปี 2018 ขึ้นมาอยู่ที่ 367 พันล้านหยวนในปี 2023 (ค่าประมาณการ) ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึงครึ่งหนึ่งของตลาดการศึกษาออนไลน์ของจีน

รูปที่ 1: มูลค่าตลาดการศึกษาออนไลน์ของจีน วัดจากมูลค่าการเรียกเก็บเงินเบื้องต้น (gross billing) ในปี 2013 – 2023 (ค่าประมาณการ)

asian-tech-5-key-trends-for-the-future-Fig1

ข้อมูลของ Bloomberg ระบุว่ามีดีลการเสนอขายหุ้น IPO ทั่วโลกถึงเกือบ 100 บริษัทในช่วงปี 2010-2019 โดยจีนและฮ่องกงครองส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดในช่วงสามปีที่ผ่านมา การตระหนักเรื่องสุขภาพมากขึ้นอันเกิดจากการระบาดของ coronavirus อาจเพิ่มระดับการเข้าถึงระบบการเรียนรู้แบบออนไลน์ โดยเฉพาะในประเทศที่มีจำนวนประชากรมากและมีการกระจายตัวทางภูมิศาสตร์ ด้วยสภาพการณ์เช่นนี้จึงอาจสร้างโอกาสการลงทุนได้มากขึ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาออนไลน์ของเอเชีย

2.ปลดล็อกระบบคลาวด์ (ของเอเชีย)

COVID-19 ยังได้เร่งการปรับเปลี่ยนมาใช้การประมวลผลบนระบบคลาวด์ (Cloud computing) เมื่อบริษัทหันมาให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นขององค์กร ระบบการทำงานที่มีความซ้ำซ้อน และการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ในช่วงการระบาดของ coronavirus นั้นการประมวลผลบนระบบคลาวด์ได้ช่วยเรื่องการทำงานแบบระยะไกลสำหรับองค์กรต่างๆ ทั่วโลก โดยทีมงานที่อยู่กันคนละสถานที่สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มการทำงานแบบรวม ซึ่งนอกเหนือจากการมีประสิทธิภาพด้านต้นทุนด้วยการไม่ต้องซื้อหรือบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐานด้านการประมวลผลแล้ว การประมวลผลแบบคลาวด์นี้ยังได้ให้ความรวดเร็วในการเชื่อมต่อมากขึ้นรวมถึงการปรับใช้และอัปเกรดซอฟต์แวร์ตลอดจนแอปพลิเคชันต่างๆ

รายได้จากการให้บริการระบบคลาวด์ทั่วโลกคาดว่าจะสูงถึง 266.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2020 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก 15% ในช่วงสองปีข้างหน้า ดังแสดงในรูปที่ 2 ข้อมูลจาก International Data Corporation ระบุว่าในปัจจุบันเม็ดเงินในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับ Cloud Computing นั้นมีสัดส่วนที่สูงกว่าหนึ่งในสามของการใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีทั่วโลก

รูปที่ 2: รายได้จากการให้บริการระบบคลาวด์แบบสาธารณะทั่วโลก (หน่วย: พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)

asian-tech-5-key-trends-for-the-future-Fig2

ตลาดบริการโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบคลาวด์ของจีนนั้นมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา โดยมีส่วนแบ่งการตลาด 10.8%1 ตลาดจีนมีผู้เล่นรายใหญ่เป็นบริษัทในประเทศอย่าง Alibaba, Tencent และ Baidu ซึ่งเป็นสามอันดับแรกในตลาด ความสำเร็จในการเข้าซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐของ Kingsoft Cloud เมื่อเดือนพฤษภาคม สามารถระดมทุนได้มากกว่า 510 ล้านดอลลาร์สหรัฐแม้ในช่วงที่มีการระบาดของไวรัส เป็นสิ่งที่ยืนยันมุมมองของผู้ลงทุนที่มีต่อโอกาสในการเติบโตอย่างมากในตลาดคลาวด์ของจีน

ข้อมูลจากทีมตลาดหุ้น A-Share ของ Eastspring ในเซี่ยงไฮ้ ระบุว่าบริษัทคลาวด์ของจีนจำนวนมากได้นำเสนอบริการอย่างเช่น วิดีโอแชทและออดิโอแชทให้แก่ลูกค้าแบบไม่มีค่าใช้จ่ายในช่วงที่มีการระบาด เพื่อช่วยให้ทั้งผู้ใช้รายใหม่และรายเดิมสามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง บริษัทเหล่านี้ยังได้เปิดให้เข้าถึงบริการโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสำหรับสถาบันวิจัยต่างๆ เพื่อเร่งการค้นคว้าเรื่องตัวยาในการนำไปผลิตวัคซีนที่ได้ผล ทีมงานคาดว่าตลาดคลาวด์ของจีนนั้นจะเติบโตหลังสิ้นสุดการระบาดครั้งใหญ่เนื่องจากพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปและการที่บริษัทต่างๆ ได้ประเมินแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจและมองหาทางเปลี่ยนแอปพลิเคชันมาสู่ระบบคลาวด์มากยิ่งขึ้น

มีคาดการณ์ว่าประเทศจีนจะมีขนาดของตลาดคลาวด์คอมพิวติ้งในสัดส่วนราวหนึ่งในสามของตลาดภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในปี 2023 ขณะอินเดียและญี่ปุ่นคาดว่าจะมีขนาดตลาดเท่ากับอีกหนึ่งในสาม ตลาดรายใหญ่ที่สุดถัดลงมาในภูมิภาคก็คือเกาหลีใต้ ออสเตรเลีย ฮ่องกง และสิงคโปร์ โดยข้อมูล ณ ขณะนี้พบว่า Amazon ยังคงเป็นผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ที่สุด2 ในเอเชียแปซิฟิก ตามมาด้วย Alibaba ที่เป็นอันดับสอง และ Microsoft ในอันดับสาม

การเป็นผู้นำระดับโลกในตลาดคลาวด์นั้นต้องการความสามารถในการให้บริการที่เข้าถึงได้ทั่วโลก ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ชื่อเสียงของแบรนด์อันเป็นที่รู้จัก สถานะการเงินที่ยอดเยี่ยม และการมุ่งเน้นไปในระยะยาว ผู้เล่นของจีนในตลาดคลาวด์ซึ่งมีกลยุทธ์เชิงรุกในช่วงที่ผ่านมาดูเหมือนว่าจะสอบผ่านในหัวข้อส่วนใหญ่เหล่านี้

3. Data center…เติบโตก้าวกระโดด

ความนิยมที่มากขึ้นในการใช้บริการระบบคลาวด์ ระบบ 5G และเทคโนโลยี IoT (Internet of Things) ได้สร้างความต้องการศูนย์ข้อมูลหรือดาต้าเซ็นเตอร์มากขึ้น ศูนย์ข้อมูลนั้นเป็นองค์ประกอบหลักของการดำเนินธุรกิจ ซึ่งประกอบด้วยคลังสินค้าส่วนกลาง (แบบกายภาพหรือแบบเสมือน) ที่ใช้สำหรับการจัดเก็บข้อมูลระยะไกลและการประมวลผลข้อมูล ศูนย์ข้อมูลเหล่านี้ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่ใช้ในการรองรับการทำงานแบบระยะไกล เรื่องการศึกษา และทีวีสตรีมมิ่ง

สิงคโปร์เป็นศูนย์กลางดั้งเดิมสำหรับผู้เล่นในตลาดคลาวด์แบบสาธารณะ (public cloud) ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการที่มีบริการคลาวด์แบบใหม่ๆ หรือการเป็นประเทศที่ก่อกำเนิดมาจากความเป็นรัฐชาติ (nation state) การเกิดขึ้นของบริการ Amazon Web Services (AWS), Google Cloud Platform (GCP), Facebook และ Alibaba Cloud และการขยายโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูลในประเทศ ทำให้สิงคโปร์เป็นตลาดศูนย์ข้อมูลที่มีการพัฒนาและเติบโตมาได้อย่างยาวนานแห่งหนึ่งของโลก แต่อีกนัยหนึ่ง การขาดแคลนที่ดินและข้อจำกัดในเรื่องการแบ่งเขตหรือโซนนิ่ง นับเป็นความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นกับสิงคโปร์สำหรับการแข่งขันด้านศูนย์ข้อมูลนี้

บรรดาผู้เล่นในตลาดคลาวด์รายใหญ่ที่สุดได้เริ่มปรับใช้หรือประกาศแผนเปิดตัว cloud region (พื้นที่ให้บริการคลาวด์ที่มีการจัดตั้งดาต้าเซ็นเตอร์) ในพื้นที่ส่วนอื่นๆ ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยอินโดนีเซียถือเป็นหนึ่งในทำเลที่น่าจับตามากที่สุด AWS เตรียมเปิดตัว cloud region ที่อินโดนีเซียในปี 2021 หรือต้นปี 2022 ในขณะที่ GCP นั้นคาดว่าจะเปิดตัวคลาวด์ที่กรุงจาการ์ตาในปี 2021 ด้าน Alibaba Cloud ได้เปิดตัวศูนย์ข้อมูลแห่งที่สองในอินโดนีเซียเมื่อต้นปีนี้ หรือ 10 เดือนหลังจากการเปิดตัวศูนย์ข้อมูลแห่งแรกในประเทศเพื่อไม่ให้เป็นการล้าหลัง

ข้อมูลของ Ari Pitoyo ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ Eastspring ในอินโดนีเซีย ประเมินว่า ประเทศอินโดนีเซียมีแนวโน้มที่ปริมาณการใช้ข้อมูลเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่าในช่วงห้าปีที่ผ่านมา โดยได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของผู้ให้บริการแพลตฟอร์มนับตั้งแต่ผู้ค้ารายย่อยในตลาดอีคอมเมิร์ซ ผู้ให้บริการเรียกรถรับส่ง ตลอดจนตัวแทนธุรกิจท่องเที่ยวออนไลน์หรือ Online Travel Agencies (OTAs) แนวโน้มการแปลงเป็นดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นในแนวดิ่งซึ่งมีความหลากหลาย อย่างเช่นการชำระเงินผ่านมือถือ ดิจิทัลแบงกิ้ง และ Software as a Service (SaaS) ยังอาจมีส่วนในการเพิ่มปริมาณการใช้ข้อมูล ในขณะเดียวกัน Ari ก็ชี้ให้เห็นว่าธุรกิจแบบดั้งเดิมในอินโดนีเซียกำลังดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลและสร้างข้อมูลเพิ่มมากขึ้นด้วย ด้าน Boston Consulting Group คาดการณ์ว่าระบบคลาวด์แบบสาธารณะจะช่วยหนุน GDP ของอินโดนีเซียเป็นมูลค่ารวมสะสมถึง 36 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงปี 2019 - 2023 และสร้างงานอีก 3.45 แสนตำแหน่ง

นอกจากอินโดนีเซียแล้ว ยังคาดว่าจะมีการขยายธุรกิจศูนย์ข้อมูลในมาเลเซียด้วยเช่นกัน โดย Alibaba Cloud นั้นได้เปิดดำเนินการในมาเลเซียที่กัวลาลัมเปอร์มาตั้งแต่ปี 2017 และ Microsoft คาดว่าจะเปิดตัว Azure Cloud ในมาเลเซียในปี 2021

ตลาด Data center ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์นั้น มีโอกาสเติบโตได้อีกมาก และคาดว่าจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าในอีกสี่ปีนับจากนี้ ซึ่งอาจขึ้นแซงหน้ายุโรปในฐานะตลาดศูนย์ข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในโลกภายในปี 2021 ดังแสดงในรูปที่ 3 โดยปัจจัยหลักๆ อย่างโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่แข็งแกร่ง แหล่งจ่ายไฟสำรองที่มีประสิทธิภาพ และการเชื่อมต่อผ่านโครงข่ายไฟเบอร์ที่แข็งแกร่ง มีส่วนช่วยผลักดันการเติบโตของตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปัจจุบัน ซึ่งในกรณีของสิงคโปร์ การมีแรงงานที่มีทักษะและอัตราภาษีที่ต่ำก็สามารถช่วยได้เช่นกัน

รูปที่ 3: Data Center ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

asian-tech-5-key-trends-for-the-future-Fig3

ศูนย์ข้อมูลกำลังถูกโยกย้ายออกไปยังภูมิภาคให้อยู่ใกล้กับลูกค้าและธุรกิจของตนมากขึ้น เพื่อให้เกิดการเชื่อมต่อได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและลดความล่าช้า นอกจากนี้ การที่กฎเกณฑ์เรื่องการคุ้มครองข้อมูลที่เข้มข้นมากขึ้น โดยข้อมูลบางประเภทต้องถูกจัดเก็บไว้อยู่ภายในประเทศ จึงมีความจำเป็นต้องตั้งศูนย์ข้อมูลให้อยู่ในประเทศนั้นๆ ยกตัวอย่างหน่วยงานของรัฐบาลมาเลเซียและองค์กรธุรกิจที่มีข้อกำหนดต้องจัดเก็บข้อมูลทั้งหมดไว้ในมาเลเซีย เช่นเดียวกับหน่วยงานด้านการกำกับดูแลของอินโดนีเซียที่ต้องการให้ข้อมูลทางการเงินที่เป็นของชาวอินโดนีเซียจะต้องถูกจัดเก็บไว้อยู่ภายในประเทศด้วยเหตุผลด้านความเป็นส่วนตัว

ศูนย์ข้อมูลต้องพึ่งพาการใช้พลังงานเป็นจำนวนมาก สร้างคาร์บอนฟุตพริ้นท์สูง รวมทั้งเกิดต้นทุนไฟฟ้าที่สูงอย่างมีนัยยะ ซึ่งการที่จะเพิ่มความสามารถทางแข่งขัน ศูนย์ข้อมูลในเอเชียจะต้องปรับเปลี่ยนไปใช้แหล่งพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและพลังงานหมุนเวียนในขณะที่เริ่มมีความสนใจมากขึ้นต่อแหล่งผลิตพลังงานที่ใช้หล่อเลี้ยงการทำงานของศูนย์ข้อมูล มีแนวโน้มว่าในอนาคตผู้ประกอบการศูนย์ข้อมูลจะต้องพิจารณาวัสดุก่อสร้างที่ปล่อยความร้อนต่ำ ปั๊มความร้อน ตลอดจนกลไกการทำความเย็นแบบระเหยอื่นๆ ด้วย3

4. หุ่นยนต์ในที่ทำงาน

ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์คาดว่าจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของ ห่วงโซ่อุปทานหรือซัพพลายเชนทั่วโลกในยุคหลังวิกฤต COVID-19 บริษัทต่างๆ ได้ย้ายไปใช้ระบบซัพพลายเชนแบบคู่ขนาน – หรือการใช้ซัพพลายเออร์สองรายสำหรับผลิตภัณฑ์หรือส่วนประกอบที่กำหนด ซึ่งสต็อกทุน (รวมถึงหุ่นยนต์) ควรเพิ่มขึ้นในปริมาณที่เท่าๆ กับผลผลิต ในปัจจุบันฐานการผลิตที่ติดตั้งหุ่นยนต์อุตสาหกรรมอยู่ในเอเชียถึง 86%4 จากฐานการผลิตรูปแบบเดียวกันที่มีอยู่ทั่วโลก การโยกย้ายฐานการผลิตกลับประเทศของตนนั้นหมายความว่าสหรัฐและยุโรปจะเริ่มซื้อหุ่นยนต์มากขึ้นในขณะที่มีการขยายฐานการผลิต การที่ค่าแรงและต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นในประเทศเหล่านี้ บริษัทต่างๆ จึงมีแนวโน้มที่จะมองหาระบบอัตโนมัติเพื่อลดต้นทุน

การสั่งงานและการติดตั้งหุ่นยนต์จะทำได้ง่ายขึ้นเนื่องจากเครื่องมือประเภท machine learning ทำให้หุ่นยนต์ฉลาดขึ้น การวิจัยและพัฒนายังมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาระบบการทำงานร่วมระหว่างมนุษย์กับหุ่นยนต์ไปสู่ระดับที่สูงขึ้นซึ่งทำให้หุ่นยนต์สามารถตอบสนองต่อเสียงและท่าทาง รวมทั้งเรียนรู้และตอบสนองต่อถึงการแสดงออกผ่านการเคลื่อนไหวของมนุษย์ ในขณะเดียวกัน สถาบันหลายๆ แห่ง5 กำลังพัฒนาอินเตอร์เฟสที่เป็นมาตรฐาน พัฒนาการนี้จะช่วยให้หุ่นยนต์อุตสาหกรรมสามารถเชื่อมต่อกับ Internet of Things ของภาคอุตสาหกรรม และสามารถสื่อสารกันเองได้โดยไม่จำเป็นว่าต้องมาจากผู้ผลิตรายเดียวกัน นอกจากนี้ ยังมีโอกาสทำให้การเช่าซื้อหุ่นยนต์เป็นโซลูชั่นที่เป็นไปได้สำหรับองค์กรขนาดเล็กและขนาดกลาง6

รายงานของ BofA Global Research ระบุว่าซัพพลายเชนที่มุ่งกลับสู่ตะวันตกเกิดขึ้นในเวลาเดียวกับที่ขนาดของประชากรวัยทำงานในประเทศเหล่านี้ลดลง ดังนั้น ทางเลือกจึงมีจำกัดยกเว้นจะหันไปพึ่งพาระบบอัตโนมัติ มีบริษัทจดทะเบียนหลายรายในญี่ปุ่นที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงในการผลิตหุ่นยนต์ประเภทต่างๆ ทำให้ผู้ผลิตหุ่นยนต์ญี่ปุ่นเหล่านี้อยู่ในสถานะที่ได้เปรียบในการรองรับสิ่งที่เป็นแนวโน้มของโลกนี้ ดูรูปที่ 4

รูปที่ 4: รายชื่อของผู้ผลิตที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงในสินค้าบางกลุ่ม

asian-tech-5-key-trends-for-the-future-Fig4

ในปัจจุบันผู้ผลิตหุ่นยนต์ของญี่ปุ่นมีบทบาทสำคัญในตลาดนี้ ซึ่งทีมการลงทุนของ Eastspring ประจำสำนักงานเซี่ยงไฮ้ ได้เน้นในข้อมูลที่ว่าจีนกำลังก้าวขึ้นบนห่วงโซ่คุณค่าในอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ได้อย่างรวดเร็ว ด้วยความก้าวหน้าทั้งในด้านการวิจัยและพัฒนา รวมถึงการปรับใช้ ขณะนี้บรรดาซิสเต็มอินทิเกรเตอร์ของจีนต่างเดินหน้าในเรื่องการออกแบบชิป ซอฟต์แวร์ และปัญญาประดิษฐ์ไปสู่การใช้งานจริง ขณะที่ผู้ใช้งานซึ่งโดยทั่วไปก็คือผู้ผลิตในภาคอุตสาหกรรม สามารถใช้ประโยชน์จากประสิทธิภาพที่สูงขึ้นได้อย่างเต็มที่ และได้รับผลดีจากระบบที่มีความมั่นคงมากขึ้น มีโครงสร้างต้นทุนที่ปรับปรุงดีขึ้น ซึ่งเกิดขึ้นจากระบบอัตโนมัติของหุ่นยนต์

5. จุดพลุสนามแข่งขัน 5G และอื่นๆ

เครือข่ายมือถือในยุคที่ห้าคาดว่าจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกมากกว่าสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา การมีความเร็วสูง ความล่าช้าต่ำ และการเชื่อมต่อแบบไฮเปอร์คอนเน็คทิวิตี้ ทำให้เทคโนโลยี 5G พร้อมที่จะปฏิวัติวิธีที่เราทำงาน วิธีการใช้ชีวิต และสร้างความบันเทิง มีคาดการณ์ว่าเทคโนโลยี 5G จะมีส่วนช่วยเพิ่มผลผลิตทั่วโลกในมูลค่าสูงกว่า 13 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2035 หรือคิดเป็นสัดส่วน 5% ของผลผลิตที่แท้จริงทั่วโลกและสร้างงาน 22.3 ล้านตำแหน่ง7

ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่สหรัฐอเมริกาและจีนกำลังแข่งขันกันเพื่อขึ้นสู่การเป็นผู้นำในการพัฒนา 5G ทีมการลงทุนของ Eastspring ในเซี่ยงไฮ้เชื่อว่าการใช้จ่ายสำหรับโครงสร้างพื้นฐาน 5G ในจีนจะสร้างศักยภาพในการเติบโตได้อีกมากสำหรับทั้งผู้ผลิตอุปกรณ์ในประเทศและซัพพลายเออร์ที่เป็นบริษัทจีน ซึ่งสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนก็คือการมองเห็นดีมานด์ภายในประเทศที่แข็งแกร่งสำหรับ Printed Circuit Boards (PCBs) และชิ้นส่วนของ Radio Frequency (RF)

ในขณะเดียวกัน การตัดสินใจครั้งล่าสุดของสหรัฐที่กีดกันไม่ให้ Huawei ของจีนและบริษัทในเครือ ซื้อชิปเซมิคอนดักเตอร์ที่ผลิตหรือออกแบบด้วยเครื่องมือ/อุปกรณ์ของสหรัฐ เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงบทบาทที่สำคัญของชิปเซมิคอนดักเตอร์ในการแข่งขันบนเวทีนี้ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วไม่เพียงแต่สำหรับ 5G เท่านั้น แต่เซมิคอนดักเตอร์ยังเป็นตัวขับเคลื่อนและได้รับประโยชน์จากแนวโน้มเทคโนโลยีสำคัญอื่นๆ ที่เราได้เน้นในบทความนี้

ตัวอย่างเช่นการทำงานจากระยะไกล การใช้อีคอมเมิร์ซและการบริโภคภายในครัวเรือน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้เกิดคุณสมบัติที่สอดรับกันในด้านการประมวลผลและแบนด์วิดธ์ที่สูงขึ้น อันจะส่งผลดีต่อผู้ให้บริการเซมิคอนดักเตอร์ที่เน้นพลังการประมวลผล

การทำงานจากที่บ้านทำให้เห็นความจำเป็นของการมีองค์กรที่ยืดหยุ่นและเป็นตัวเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบที่ดีกว่า การคัดกรองที่รวดเร็วยิ่งขึ้น และการเฝ้าติดตามผู้คนนั้น มีแนวโน้มที่จะเพิ่มการลงทุนในปัญญาประดิษฐ์ที่ใช้ในการดูแลสุขภาพและความเป็นเมืองอัจฉริยะ นอกจากนี้ ในขณะที่เกมออนไลน์กำลังเติบโตก็จำเป็นต้องมีองค์ประกอบของเกมที่ดีกว่าเดิม ส่วนเรื่องของความตึงเครียดทางการค้าที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องกำลังผลักดันให้จีนและสหรัฐอเมริกาก้าวไปสู่เส้นทางการพึ่งพาตนเองและจัดการลอกเลียนด้านซัพพลายมากยิ่งขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้จึงได้สร้างความต้องการชิปเซมิคอนดักเตอร์แบบเฉพาะมากยิ่งขึ้น

ความสามารถของชิปเซมิคอนดักเตอร์นั้นขึ้นอยู่กับขนาดของทรานซิสเตอร์ – หรือวงจรคอมพิวเตอร์ที่ช่วยในการคำนวณ กฎของมัวร์ได้ให้ข้อสังเกตว่าจำนวนทรานซิสเตอร์ในไมโครชิป จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในทุกๆ 2 ปีเนื่องจากขนาดที่เล็กลงซึ่งเป็นไปตามเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามากขึ้น ชิปที่ทันสมัยนั้นจะมีทรานซิสเตอร์ที่เล็กมากๆ แต่ด้วยความซับซ้อนและต้นทุนในการผลิตชิปเหล่านี้บอกเป็นนัยว่ามีเพียงไม่กี่บริษัทที่จะสามารถดำเนินการผลิตได้หรือใกล้เคียงเพื่อให้มีคุณสมบัติที่ล้ำยุค วันนี้มีเพียง 2 บริษัทในโลกที่สามารถผลิตชิป 5 นาโนเมตร (nm) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีในระดับแถวหน้า - นั่นคือ Taiwan Semiconductor Manufacturing (TSMC) และ Samsung Electronics (SEC) ขณะบริษัทสหรัฐอย่าง Intel นั้นก็มีเป้าหมายที่จะเข้าสู่ตลาด 5 นาโนเมตรภายในปี 20238 โดยในปัจจุบันไต้หวันและเกาหลีใต้ครองสัดส่วนตลาดที่สูงสำหรับการผลิตชิปล้ำสมัย (<16 nm) ในตลาดโลก ดังแสดงในรูปที่ 5

รูปที่ 5 : กำลังการผลิตชิปที่ล้ำสมัย (ขนาด < 16 นาโนเมตร) โดยผู้ผลิตจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก

asian-tech-5-key-trends-for-the-future-Fig5

Greg Kang หัวหน้าฝ่ายวิจัยตลาดทุนของ Eastspring ประจำสำนักงานเกาหลีระบุว่าผู้ผลิตชิปชั้นนำอย่างเช่น SEC และ TSMC กำลังใช้เทคโนโลยีการพิมพ์แนวราบที่ล้ำสมัยแบบ Extreme Ultraviolet (EUV) ซึ่งทำให้พวกเขาสามารถสร้างชิปที่มีขนาดเล็กลง เร็วยิ่งขึ้น และมีต้นทุนที่ต่ำลง ข้อมูลของ Greg ยังชี้ให้เห็นด้วยว่า SEC และ TSMC กำลังวางแผนที่จะเริ่มต้นผลิตชิปในจำนวนมากโดยใช้อุปกรณ์ EUV ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2020 หรือต้นปี 2021 นั่นเท่ากับเป็นการเร่งให้ผู้บริโภคสามารถรับรู้ได้ถึงศักยภาพอันแท้จริงของ 5G

Kevin Liu หัวหน้าฝ่ายการลงทุนในประเทศของ Eastspring ในไต้หวัน เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในซัพพลายเชนทั่วโลกน่าจะเป็นประโยชน์ต่อซัพพลายเชนของเซมิคอนดักเตอร์ในไต้หวัน ผู้ผลิตของไต้หวันหลายราย นำโดย TSMC นั้นกำลังขยายช่องว่างด้านเทคโนโลยีให้กว้างขึ้นเพื่อผลิตชิป 3 นาโนเมตร นอกจากนี้ ผู้ออกแบบวงจรรวม (Integrated Circuit) ชั้นนำของไต้หวันที่ใช้ในสมาร์ทโฟน การจัดการพลังงาน และ Wi-Fi ยังดำเนินการที่สอดคล้องกับนโยบายที่เน้นให้สอดรับกับตลาดในประเทศของรัฐบาลจีน หากมองไปข้างหน้าถ้าสหรัฐสั่งห้ามการส่งออกวัตถุดิบด้านเทคโนโลยีที่สำคัญไปยังประเทศจีนแล้วส่งผลให้เกิดการแบ่งแยกเทคโนโลยีออกเป็นสองฝั่งระหว่างสหรัฐกับจีน ซึ่ง Kevin เชื่อว่าบรรดาซัพพลายเออร์ในตลาดชิปของไต้หวันจะยังคงอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบ โดยเมื่อเร็วๆ นี้ TSMC ได้บรรลุข้อตกลงที่จะสร้างโรงงานผลิตชิป 5 นาโนเมตร มูลค่า 12 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในสหรัฐอเมริกา

ไม่อาจมองข้ามความได้เปรียบของเอเชีย

แม้ในขณะที่ประเทศต่างๆ ได้ผ่อนคลายข้อจำกัดในการล็อกดาวน์ แต่ก็มีแนวโน้มว่าพฤติกรรมของผู้คนนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี การปรับเปลี่ยนมาสู่ระบบคลาวด์ การแปลงสู่ระบบดิจิตัล และระบบอัตโนมัติ ได้นำมาสู่โอกาสของการมีประสิทธิภาพการผลิตที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ผู้ลงทุนจะสามารถสัมผัสกับแนวโน้มทางเทคโนโลยีเหล่านี้ได้ในทศวรรษหน้า สภาวะการแข่งขันและกฎระเบียบทางเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปได้บ่งชี้เป็นนัยว่าผู้ลงทุนจะต้องดำเนินการค้นหาโอกาสที่อยู่ภายในกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งพวกเขาแทบจะไม่สามารถมองข้ามเอเชียไปได้ ด้วยความได้เปรียบและศักยภาพในการเติบโตของภูมิภาคสำหรับการประยุกต์ใช้งานเหล่านี้ในหลายๆ ด้าน

บทความนี้เป็นบทความที่สอง จากทั้งหมดหกบทความใน Asian Expert Series ของเราซึ่งได้ทำการสำรวจแนวโน้มในอนาคตของเอเชียในยุคหลังวิกฤติ COVID

Sources:
1 https://www.canalys.com/newsroom/canalys-china-cloud-infrastructure-Q4-2019
2 Based on revenues generated during 4Q19
3 Data Centre Market in Southeast Asia 2019-2023. Technavio. November 2019.
4 2018 numbers. IFR, BofA Global Research estimates.
5 VDMA and the Open Platform Communications Foundation (OPC).
6 International Federation of Robotics. Top Trends Robotics 2020.
7 Omdia. Global sales activity across multiple industry sectors. March 2020.
8 https://optocrypto.com/intel-plans-to-switch-over-to-7nm-in-2021-and-5nm-in-2023/

This document is produced by Eastspring Investments (Singapore) Limited and issued in:

Singapore and Australia (for wholesale clients only) by Eastspring Investments (Singapore) Limited (UEN: 199407631H), which is incorporated in Singapore, is exempt from the requirement to hold an Australian financial services licence and is licensed and regulated by the Monetary Authority of Singapore under Singapore laws which differ from Australian laws.


Hong Kong by Eastspring Investments (Hong Kong) Limited and has not been reviewed by the Securities and Futures Commission of Hong Kong.


This document is produced by Eastspring Investments (Singapore) Limited and issued in Thailand by TMB Asset Management Co., Ltd.


Indonesia by PT Eastspring Investments Indonesia, an investment manager that is licensed, registered and supervised by the Indonesia Financial Services Authority (OJK).


Malaysia by Eastspring Investments Berhad (531241-U).


United States of America (for institutional clients only) by Eastspring Investments (Singapore) Limited (UEN: 199407631H), which is incorporated in Singapore and is registered with the U.S Securities and Exchange Commission as a registered investment adviser.


European Economic Area (for professional clients only) and Switzerland (for qualified investors only) by Eastspring Investments (Luxembourg) S.A., 26, Boulevard Royal, 2449 Luxembourg, Grand-Duchy of Luxembourg, registered with the Registre de Commerce et des Sociétés (Luxembourg), Register No B 173737.


United Kingdom (for professional clients only) by Eastspring Investments (Luxembourg) S.A. - UK Branch, 125 Old Broad Street, London EC2N 1AR.


Chile (for institutional clients only) by Eastspring Investments (Singapore) Limited (UEN: 199407631H), which is incorporated in Singapore and is licensed and regulated by the Monetary Authority of Singapore under Singapore laws which differ from Chilean laws.


The afore-mentioned entities are hereinafter collectively referred to as Eastspring Investments.


The views and opinions contained herein are those of the author on this page, and may not necessarily represent views expressed or reflected in other Eastspring Investments’ communications. This document is solely for information purposes and does not have any regard to the specific investment objective, financial situation and/or particular needs of any specific persons who may receive this document. This document is not intended as an offer, a solicitation of offer or a recommendation, to deal in shares of securities or any financial instruments. It may not be published, circulated, reproduced or distributed without the prior written consent of Eastspring Investments. Reliance upon information in this posting is at the sole discretion of the reader. Please consult your own professional adviser before investing.

 

Investment involves risk. Past performance and the predictions, projections, or forecasts on the economy, securities markets or the economic trends of the markets are not necessarily indicative of the future or likely performance of Eastspring Investments or any of the funds managed by Eastspring Investments.


Information herein is believed to be reliable at time of publication. Data from third party sources may have been used in the preparation of this material and Eastspring Investments has not independently verified, validated or audited such data. Where lawfully permitted, Eastspring Investments does not warrant its completeness or accuracy and is not responsible for error of facts or opinion nor shall be liable for damages arising out of any person’s reliance upon this information. Any opinion or estimate contained in this document may subject to change without notice.


Eastspring Investments (excluding JV companies) companies are ultimately wholly-owned/indirect subsidiaries/associate of Prudential plc of the United Kingdom. Eastspring Investments companies (including JV’s) and Prudential plc are not affiliated in any manner with Prudential Financial, Inc., a company whose principal place of business is in the United States of America.